“การบริหารแบบกระจายอํานาจ ซึ่งสืบทอดมาจากพ่อ
เข้าสู่ตลาดอะไหล่รถยนต์ ในยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟู”
เมื่อพิธีศพของคุณพ่อสิ้นสุดลง เราจําเป็นต้องประชุมเรื่องแนวทางการบริหารจัดการเครือสหพัฒน์ พ่อคงได้เตรียมไว้เผื่อมีเกิดอะไรขึ้นกระมัง ทำให้เพื่อนเก่าของพ่อซึ่งเป็นอดีตประธานรัฐสภา คุณประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ ได้เข้าร่วมการประชุมครอบครัวโชควัฒนา ในฐานะผู้ประสานงาน
บริษัท สหพัฒนพิบูลที่ร่วมทุนกับไลอ้อน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเครือสหพัฒน์ แต่เดิมผู้บริหาร คือ บุญชัย ลูกชายคนที่ห้า ได้เปลี่ยนเป็น บุณย์เอก ลูกชายคนโต และ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (SPI) ก็เปลี่ยนจาก ฉัน ลูกชายคนที่สาม เป็น บุญปกรณ์ ลูกชายคนที่สอง และฉันได้รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลเครือสห พัฒน์ ในภาพรวม ในขณะที่ฉันอายุ 54 ปี
ตอนที่พ่อของฉันยังมีชีวิตอยู่ ท่านไม่ได้กำหนดตัวผู้สืบทอดไว้ แต่ดูเหมือนเขาจะเปรยให้คนรอบข้างฟังว่า “อยากค่อย ๆ มอบหมายให้บุณยสิทธิ์” พี่น้องของฉันทุกคนต่างได้เรียนต่อระดับอุดมศึกษาใน ต่างประเทศ ยกเว้นฉันที่เรียนจบเพียงชั้นมัธยมต้น แต่ฉันเป็นคนที่ช่วยพ่อทำงานมาเกือบ 40 ปี ซึ่งแน่นอน ที่ฉันจะรู้จักบริษัทในเครือเป็นอย่างดี
ในที่ประชุมครอบครัวไม่มีใครคัดค้าน และด้วยสมควร ที่จะต้องให้เกียรติผู้อาวุโสกว่าด้วย คุณประสิทธิ์ จึงได้มอบหมายสองในสามบริษัทหลักของเครือสหพัฒน์ให้พวกพี่ ๆ ดูแล ดังนั้น ไม่ว่าจะมอง จากภายนอกหรือภายในเครือฯ หรือจากภายในครอบครัว ล้วนสะท้อนให้เห็นว่าเป็นการสืบทอดที่กลม เกลียวไม่มีความขัดแย้งใด ๆ
ฉันมักถูกถามบ่อย ๆ ว่า ไม่เห็นมีบริษัทใดที่ชื่อเครือสหพัฒน์ และด่าแหน่ง “ประธาน” ของฉันก็ ไม่มีผลทางกฎหมาย ซึ่งก็เป็นเช่นนี้แต่แรกเริ่มแล้ว พ่อของฉันก็เพียงเข้าไปบริหารในฐานะผู้ก่อตั้ง ไม่มี ตำแหน่งประธานเครือหรือประธานบริษัทแต่อย่างใด
แน่นอนว่าฉันรู้สึกกดดัน ฉันไม่สามารถขอความเห็นชอบหรือคำแนะนำจากพ่อได้อีกแล้ว ในตอน นั้นปี
พ.ศ.2534 ต้องดูแลบริษัทในเครือร่วม 190 แห่ง พนักงานเป็นหมื่นคน ผู้คนทั้งในและนอกบริษัทต่าง จับตามองว่า สหพัฒน์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร หากฉันตัดสินใจผิดพลาด ไม่เพียงแค่สูญเสียความน่า เชื่อถือจากสังคม แต่อาจส่งผลให้เกิดความแตกแยกภายในได้
สิ่งที่ฉันคำนึงถึง คือ “จะไม่เปลี่ยนแปลงวิธีการของพ่อ” ฉันไม่ได้ต้องการอำนาจจากการรับตำแหน่งเป็นประธาน และไม่เคยคิดเปลี่ยนการบริหารจัดการแบบกระจายอำนาจ เพื่อการแตกออกไปแล้ว เติบโต ตัวฉันเองไม่ชอบการถูกสั่ง จ้ำจี้จ้ำไชในขั้นตอนการทำงาน ฉันจึงไม่อยากบังคับใครเช่นนั้น สิ่งที่ ต้องทำ คือ ทำงานไปตามปกติ
ระบบการทำงานมีอยู่แล้ว พ่อของฉันซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง และฉันซึ่งเคยเป็นประธานของ SPI ได้รับ รายงานประจําเดือนจากบริษัทในเครือแต่ละแห่ง ต่อไปในฐานะประธานของเครือฯ ฉันต้องทําความเข้าใจ ผลประกอบการและปัญหาของแต่ละบริษัท และให้การสนับสนุนเมื่อจำเป็น นอกจากนี้ การรับประทาน อาหารกลางวันกับครอบครัวและกรรมการอาวุโส เพื่อเป็นการประชุมอย่างไม่เป็นทางการทุกวันพฤหัสบดีที่ คุณพ่อเคยทำนั้น ฉันก็ยังปฏิบัติต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
ฉันรู้สึกว่าไม่จําเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงต้นทศวรรษ 2530 เติบโตในอัตราเกือบ 10% ต่อปี ด้วยการแข็งค่าของเงินเยนหลังจากข้อตกลงพลาซ่า (Plaza Accord) ในปีพ.ศ. 2528 อุตสาหกรรมการผลิตของญี่ปุ่นได้เร่งการขยายตัวไปต่างประเทศรวมถึงประเทศไทย หากเครือสหพัฒน์ตั้งเป้าที่จะขยายกิจการคงจะไปได้ดี
ต่อมา ไทยถูกเรียกว่า “ดีทรอยด์แห่งเอเชีย” เพราะประเทศไทยเริ่มที่จะเป็นศูนย์รวมอุตสาหกรรม การผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่น และเป็นช่วงแรกที่เราเข้าสู่ตลาดอะไหล่รถยนต์ ตัวอย่างเช่น จัดตั้งบริษัทร่วมทุน กับ Seiren ผู้ผลิตสิ่งทอ ซึ่งต้องการผลิตผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ในประเทศไทย และ ให้บริษัท Molten ซึ่งเป็น บริษัทร่วมทุนร่วมผลิตลูกฟุตบอลและลูกบาสเก็ตบอล เริ่มธุรกิจใหม่ทำการผลิตอะไหล่รถยนต์ที่ทำจากยาง ทว่า เศรษฐกิจไทยที่กำลังเติบโต และการทำธุรกิจของสหพัฒน์ที่ดำเนินมาอย่างราบรื่น ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงปลาย 2530
ประธานเครือสหพัฒน์
หมายเหตุ : บทสัมภาษณ์คุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา
ในคอลัมน์ Watashi no Rirekisho (My Personal History)
หนังสือพิมพ์ Nihon Keizai Shimbun (Nikkei Newspaper)
July 2021