INSIDE HISTORY เปิดประวัติคุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา #ตอนที่ 3 : ความทรงจำที่บ้านเกิด

 

“ความหวาดกลัวจากการโจมตีทางอากาศในช่วงสงคราม เรียนภาษาจีนจากแม่ที่รักการศึกษา”

ฉันเกิดที่กรุงเทพฯเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2480 มีชื่อจีนว่า ลีบุ้นเซี้ยง เป็นลูกชายคนที่สาม ของคุณพ่อเทียม และ คุณแม่สายพิณ ในประเทศจีนเชื่อกันว่า ถ้ามีลูกชายสามคนติดกันจะเป็นโชคดี และ พ่อแม่ของฉันดูเหมือนจะดีใจกับการเกิดเป็นลูกชายคนที่ 3 ของฉันมาก

ครอบครัวของเราอยู่บ้านเช่าบนถนนทรงวาด เป็นโกดังริมแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้กับถนนสำเพ็ง ซึ่งเป็น ย่านค้าส่งแหล่งชาวจีน ชั้นล่างเป็นโกดังเก็บสินค้า ส่วนครอบครัว ญาติ รวมถึงคนงานอาศัยอยู่บนชั้นสอง และชั้นสาม

ในสมัยนั้น คนจีนจํานวนมากจะอาศัยอยู่บนถนนทรงวาด หลายตระกูลทำธุรกิจเจริญรุ่งเรืองและ ประสบความสำเร็จ เช่น ตระกูลเจียรวนนท์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ตระกูลโสภณพนิช ของธนาคารกรุงเทพ และตระกูลล้ำซำ ของธนาคารกสิกรไทย

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมในปีนั้น ก่อนที่ฉันจะเกิด ได้เกิดเหตุการณ์ Marco Polo Bridge ญี่ปุ่นและจีน ปะทะกันในเขตชานเมืองของกรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นชนวนสู่สงครามโลกครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2484 ซึ่งส่งผล กระทบต่อประเทศไทยด้วย

ญี่ปุ่นซึ่งเปิดสงครามกับสหรัฐอเมริกา ได้ย้ายฐานทัพมาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อหาทรัพยากร และด้วยอานาจของญี่ปุ่นในเวลานั้น ประเทศไทยต้องประกาศตัวเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นซึ่งเป็นฝ่ายอักษะ เพื่อรักษาเอกราชไว้

ความทรงจําแรกสุดในวัยเด็กของฉันคือ ฉันร้องไห้ตัวสั่นด้วยความกลัวเสียงระเบิดที่ทิ้งลงมาใกล้บ้าน ใกล้กับถนนทรงวาดมีอาคารสูงเก้าชั้นและโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ เครื่องบินของอังกฤษซึ่งเป็นฝ่ายพันธมิตร จึงพุ่งเป้าไปที่นั่นบ่อยครั้ง

ด้วยไม่รู้ว่าสงครามจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ร้านเฮียบเซ่งเชียง ที่เพิ่งเปิดกิจการ จึงเหลือแต่คุณพ่อและ ลุงสองคนอยู่ช่วยที่ร้าน ส่วนญาติทั้งหมดรวม 20 กว่าคนถูกคุณแม่ซึ่งกำลังตั้งท้องลูกชายคนที่ 4 พาลงเรือ ไปฝั่งธนบุรี และลูกชายคนที่สี่ของครอบครัวจึงมีชื่อว่า ณรงค์ หมายถึง “สงคราม”

คุณพ่อและลุงของฉันมาที่ธนบุรีสัปดาห์ละครั้งเพื่อดูความเป็นอยู่ของครอบครัว และวันรุ่งขึ้นก็กลับ กรุงเทพฯ แม้ว่าในชีวิตฉันได้รับอิทธิพลอย่างมากจากคุณพ่อ แต่ในวัยเด็กฉันใช้เวลาอยู่กับแม่ของฉันมากกว่า แม่เป็นผู้ดูแลชีวิตของครอบครัวและญาติ แม่เป็นคนเข้มงวด และพวกเรามักจะถูกตีถ้าพูดแล้วไม่ฟัง

ครอบครัวของแม่ฉันเป็นร้านช่างทำทอง บรรพบุรุษของแม่ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลจากประเทศจีนมายังประเทศไทยก่อนครอบครัวของพ่อฉันนานมาก แม่เลยมีความเป็นคนไทยสูง แม่แต่งงานกับพ่อผ่านการดูตัว

แม่ของฉันรักการเรียนตั้งแต่ยังเด็ก แต่ไม่ได้ไปโรงเรียนมากนักเพราะต้องดูแลน้องชายและน้องสาว นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมแม่ถึงเข้มงวดมากกับการศึกษาของลูก ในเวลานั้นเป็นเรื่องปกติที่จะส่งให้ลูกเรียนระดับประถมศึกษาในโรงเรียนจีน แต่แม่กังวลว่าการเรียนของเด็กจะล่าช้าเนื่องจากเป็นช่วงอพยพ แม่เลยใช่บทกวีของจีนสอนภาษาจีนให้พวกเรา

“มองปัจจุบันและมองย้อนกลับไปในอดีต” (หากไม่มีอดีตก็ไม่มีปัจจุบัน อย่าลืมมองย้อนกลับไปในอดีต ทุกครั้งที่คุณจะลงมือทําอะไร)

“ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” (ความสามารถของม้าเป็นที่เข้าใจเมื่อขี่ม้าในระยะทางไกล หากเรา ทำงานร่วมกันเป็นเวลานานเราจะเข้าใจจิตใจของกันและกันได้ดีขึ้น)

พี่ชายและฉันถูกบังคับให้ท่องบทกวีจีนมากมาย แต่ในเวลานั้นฉันอายุเพียงห้า-หกขวบจึงไม่เข้าใจความหมายของบทกวีเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม ฉันก็ยังคงจําเสียงของแม่ที่ท่องบทกวีราวกับขับขานบทเพลงได้เป็นอย่างดี

ประธานเครือสหพัฒน์
หมายเหตุ : บทสัมภาษณ์คุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา
ในคอลัมน์ Watashi no Rirekisho (My Personal History)
หนังสือพิมพ์ Nihon Keizai Shimbun (Nikkei Newspaper)

July 2021

#บทสัมภาษณ์คุณบุณยสิทธิ์โชควัฒนา

Related

Lastest