ปู่ที่ข้ามทะเลมายังกรุงเทพฯ และพ่อที่แยกตัวออกมาเปิดร้านเอง
ประวัติความเป็นมาของครอบครัวโชควัฒนาในประเทศไทย เริ่มขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2443 เมื่อปู่ ของฉัน ลี้ฮกเปี้ยว ลูกชายคนโตของเกษตรกรในมณฑลกวางตุ้งประเทศจีน ย้ายถิ่นฐานไปกรุงเทพฯ พร้อมกับครอบครัว ท่านเป็นหนึ่งในชาวจีนที่กระจัดกระจายหนีความยากจนไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของเอเชีย
ปู่ของฉันเป็นคนที่ร่างกายแข็งแรง ทำงานทุกประเภทเพื่อหาเลี้ยงชีพ แม้แต่การขายไอศครีม ตามร้านแผงลอยก็เคยทำ
ปู่เช่าบ้านบนถนนสำเพ็งซึ่งเป็นย่านค้าส่งในเยาวราช เป็นแหล่งที่อยู่ของคนจีน ปู่ทํางานตลอดเวลา สมัยนั้นคนจีนโพ้นทะเลที่จะส่งเงินไปยังบ้านเกิดของพวกเขา จะใช้การโอนเงินใต้ดินที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ ถูกกว่าธนาคาร ปู่ทำงานเป็นธุรการ ได้รับเงินเดือน 30 บาทต่อเดือน ราคาก๋วยเตี๋ยวที่แผงลอยตอนนั้นอยู่ที 3 สตางค์ ซึ่งราคาก๋วยเตี๋ยวตอนนี้อยู่ที่ 50 บาท ดังนั้นหากเทียบเงินเดือนปู่เป็นเงินตอนนี้ น่าจะประมาณ 50,000 บาท (ประมาณ 170,000 เยน)
ความโชคดีมาหาปู่ของฉันที่ทำงานหนักเพื่อครอบครัว ท่านถูกทั้งลอตเตอรี่ที่ซื้อในตอนเช้าและ ตอนเย็นสองครั้งในวันเดียวกัน ปู่ได้รับรางวัลมากกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งปู่ได้เปิดร้านขายข้าว น้ำตาลและแป้ง สาลีให้น้องชาย 6 คน ส่วนปู่ของฉันยังคงทำงานธุรการต่อไป
ร้านนี้ปู่ของฉันเป็นเจ้าของ แต่บริหารโดยน้องๆ เพราะปูเป็นคนรักครอบครัว แต่ด้วยร้านประสบภาวะขาดทุนค่อนข้างมาก จึงได้ให้ลูกชายคนที่สามของปู่คือ พ่อของฉัน เทียม โชควัฒนา (ลี้เฮงเทียม) เข้าไปทำงาน ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น
เมื่อพ่อฉันเข้าไปในร้าน อาคนหนึ่งพูดดูถูกกับพ่อว่า
“อั๊วเป็นผู้ก่อตั้งตัวจริง ครอบครัวมีชีวิตที่ดีเพราะอั๊วทำงานหนัก ถ้าไม่มีอั๊ว อย่างลื้อก็เป็นได้แค่ คนข้างถนน”
“ให้ลื้อทำอะไรก็ไม่รอด ต่อให้แต่งงานก็ไม่สามารถดูแลลูกเมียลื้อได้หรอก!”
ความรู้สึกของความอัปยศอดสูในขณะนั้นเหมือนจุดเพลิงในใจ พ่อของฉันสาบานในใจว่า วันหนึ่ง ท่านจะต้องประสบความสําเร็จให้ได้ ท่านมองดูลูกพี่ลูกน้องของท่านซึ่งไม่ค่อยได้ทำงาน แต่ได้เรียนต่อ ในระดับอุดมศึกษาหรือเรียนต่อเมืองนอก ส่วนท่านต้องทํางานหนักเจียนตาย ในเวลานั้นมีเพียงพ่อที่แบกกระสอบน้ำตาลหนัก 100 กิโลกรัมได้ด้วยตัวคนเดียว
เนื่องด้วยร้านไม่มีระบบบัญชีและการจัดการสินค้าคงคลัง ทุกอย่างไม่เป็นระเบียบ สินค้าถูกญาติ หยิบออกไปโดยพลการเพื่อแลกเป็นเงินบ่อยๆ ความสัมพันธ์ระหว่างปู่ของฉันและน้องๆ ค่อยๆ ระหองระแหง ปู่ของฉันจึงแยกตัวจากน้องและเปิดร้านใหม่ด้วยตัวเอง ในปี พ.ศ. 2479 ซึ่งตอนนั้นพ่อของฉันอายุ 20 ปี
อย่างไรก็ตามร้านที่เปิดใหม่นี้ยังจําหน่าย ข้าวและน้ำตาลเช่นเดียวกับน้องของปู่ พ่อของฉันค่อยๆ เริ่มตั้งคำถามกับธุรกิจที่ใช้แรงกายหนักมาก แต่ได้รับผลกำไรเพียงเล็กน้อย พ่อของฉันชักชวนปู่หลายครั้ง ให้เปลี่ยนแปลง เพราะท่านเชื่อว่าการนำเข้าของใช้ในชีวิตประจําวัน เช่น อาหาร เสื้อ แปรงสีฟัน จะทํากำไร ได้แน่นอน ถึงอย่างนั้น ก็ไม่เห็นด้วย และยืนกรานว่าเป็นสินค้าไม่จําเป็นและไม่เร่งด่วนในประเทศไทย
ในที่สุดพ่อของฉันตัดสินใจที่จะแยกออกจากร้านของปู่ และเปิดร้านขายสินค้าเบ็ดเตล็ดของตัวเอง ชื่อ ร้านเฮียบเซ่งเชียง ที่มุมถนนสําเพ็งในปี พ.ศ. 2485 อันเป็นจุดเริ่มต้นของเครือสหพัฒน์
ประธานเครือสหพัฒน์
หมายเหตุ : บทสัมภาษณ์คุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา
ในคอลัมน์ Watashi no Rirekisho (My Personal History)
หนังสือพิมพ์ Nihon Keizai Shimbun (Nikkei Newspaper)
July 2021